ผู้ว่าฯ ธปท. จี้ครม. จัดการสินค้านำเข้าทะลัก หวั่นกระตุ้น 1.57 แสนล้านไร้ผล

28 พฤษภาคม 2568
ผู้ว่าฯ ธปท. จี้ครม. จัดการสินค้านำเข้าทะลัก หวั่นกระตุ้น 1.57 แสนล้านไร้ผล
“ดร.เศรษฐพุฒิ” ผู้ว่าฯ ธปท. ทำหนังสือให้ความเห็น ครม. ชี้เห็นด้วยทบทวนใช้งบฯ 1.57 แสนล้านบาท แต่หวั่นกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ประสิทธิผล หากไม่เร่งแก้ปัญหาสินค้านำเข้าทะลักก่อน แนะ 4 มาตรการเร่งด่วน

รายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือแสดงความเห็นของ ธปท. ต่อแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท
โดยระบุว่า ธปท. เห็นด้วยกับการทบทวนแผนการใช้งบประมาณให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทันท่วงที และไม่ขัดข้องกับหลักการของแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มผลิตภาพการผลิต และการรักษาระดับการจ้างงาน โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการส่งออกที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการประกาศนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ของประเทศมหาอำนาจ

ทั้งนี้ ธปท. เห็นว่า ควรให้น้ำหนักกับการบรรเทาผลกระทบและสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจมากขึ้นด้วย โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้

1. ควรจัดสรรงบประมาณโดยให้ความสำคัญกับการบรรเทาความเดือดร้อนต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่

(1) กลุ่มผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่เกี่ยวข้อง

(2) กลุ่มผู้ผลิตที่จะถูกกระทบจากการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ (import fooding) ที่รุนแรงขึ้น ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตที่ไทยเผชิญอยู่ โดยตั้งแต่ ปี 2565 – 2567 การนำเข้าสินค้าขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้นราว 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งผู้ผลิตในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว นอกจากนี้ ควรมีโครงการที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ปรับตัวตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสในการ เปิดตลาดใหม่ควบคู่ไปด้วย

2. ควรมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ import flooding เพราะถ้าไม่ดำเนินการในเรื่องนี้ก่อน โครงการหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ อาจไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร โดยแนวทางการรับมือที่ต้องเร่งดำเนินการ อาทิ

(1) การบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบที่เข้มงวดใน 3 ด้าน ได้แก่ การตรวจมาตรฐานสินค้า การตรวจสินค้าผ่านด่าน และการป้องกันสวมสิทธิสินค้าเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออก

(2) การเร่งรัดกระบวนการไต่สวนข้อพิพาทกับต่างประเทศ เรื่องการที่สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดในไทย

(3) การกำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ชายสินค้าในไทยต้องจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าและมีระบบชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม

(4) การกำหนดมาตรการเพิ่มเติม ด้านภาษี โดยตั้งภาษีหรือกำหนดโควตาการนำเข้าสินค้า หรือการเก็บภาษีสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.